ไปลองนั่ง Waymo รถยนต์ไร้คนขับของ Google เป็นยังไงบ้าง?

Nontawat Numor
Life@LINE MAN Wongnai
5 min readMar 18, 2024

--

สวัสดีครับ หลังจากเพิ่งปล่อย Blog ของ AWS re:Invent 2023 ไปไม่นาน ภายในทีมเองก็นึกขึ้นได้ว่านอกจากผมได้ไปดูงาน AWS แล้ว ผมยังได้ลองนั่ง Waymo อีกด้วย เลยอยากเขียน Blog มาเล่าสู่กันฟังว่าไปลองใช้จริงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?

ขอแนะนำตัวเองอีกสักนิดนึงก่อนเข้าเนื้อหาครับ ผมชื่อ นลธวัช หนูมอ ชื่อเล่นว่า นนท์ ปัจจุบันรับหน้าที่เป็น Staff Site Reliability Engineer​​ ที่บริษัท LINE MAN Wongnai (LMWN) ครับ งานอดิเรกผมก็ชอบลองทำนั่นนี่ไปเรื่อย รวมไปถึงลอง
Technology ใหม่ ๆ เลยเป็นที่มาของ Blog ในวันนี้อย่างการลองนั่ง Waymo ครับ

Ride Hailing by Waymo

อะไรคือ Waymo?

Waymo คือ บริการเรียกแท็กซี่ไร้คนขับของ Google หรือบางคนอาจจะเรียกว่า Robotaxi (Robot + Taxi) ก็ได้ครับ

จริง ๆ จะบอกว่าของ Google โดยตรงก็ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ครับ เพราะแต่เดิม Waymo คือ project รถยนต์ไร้คนขับของ Google แต่ภายหลังแยกบริษัทออกมาแล้ว ตอนนี้อยู่ภายใต้ Alphabet อีกที ซึ่ง Alphabet ก็คือบริษัทแม่ของ Google อีกชั้นครับ (ไม่งงเนอะ ถ้างงก็อ่านต่อครับ แต่ไม่มีอธิบายส่วนนี้เพิ่มละนะ ฮ่า ๆๆ)

Project รถยนต์ไร้คนขับไม่ใช่ของใหม่

Project รถยนต์ไร้คนขับหรือ Self-Driving Car จริง ๆ แล้วก่อตั้งมานานมากแล้วครับ ต้นกำเนิดของ Waymo เองก็เกิดมาตั้งแต่ปี 2004 ตั้งแต่ยังเป็น Stanford Self-Driving Car Team อยู่เลย ถ้าให้นับรวม ๆ จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 19 ปีเต็ม ถ้านับเป็นอายุคนก็เข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวแล้ว

Waymo เองตอนนี้ให้บริการเพียงแค่ 4 เมืองหลัก ๆ นั่นก็คือ Phoenix, Arizona และ San Francisco, California ส่วนเมือง Los Angeles (LA) และ Austin กำลังอยู่ในแผน และจะเปิดให้บริการภายในปี 2024 นี้ (ผมเองก็เห็นประกาศมานานแล้ว ชาว LA และ Austin ก็คงตั้งตารออยู่เหมือนกัน)

ตั้งใจบินไป San Francisco เพื่อลองนั่ง Waymo?

ถ้าใครตามอ่าน Blog AWS re:Invent 2023 ก่อนหน้านี้มาจะทราบกันดีครับว่างานของ AWS จัดที่ Las Vegas ซึ่งอยู่คนละรัฐกับ San Francisco เลย

…แล้ว ผมตั้งใจบินไป San Francisco เพื่อลองนั่ง Waymo เลยเหรอ?

คำตอบคือ… ผมแค่โชคดีครับ ฮ่า ๆๆ เพราะการจะบินตั้งแต่ประเทศไทย ไป Las Vegas มันต้องอาศัยการต่อเครื่องบินหลายต่อครับ แล้ว San Francisco ก็เป็นเมืองระหว่างทางที่ผมจะไป Las Vegas นั่นเองง

เรียกได้ว่า ผมแค่บังเอิญโชคดีได้แวะเมืองนี้ครับ เวย์ม๊งเวย์โม (Waymo) อะไรนี่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางผมแต่แรกหรอกครับ ฮ่า ๆๆ

waitlist ของ Waymo

ใคร ๆ ก็ลองใช้ Waymo ได้เลย?

ถึงแม้รถยนต์ไร้คนขับอย่าง Waymo จะอายุเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นขนาด 19 ปีก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้เปิดอย่างแพร่หลายให้ทุกเมือง/ทุกคนใช้ได้นะครับ ยังคงจำกัดวงใช้งานของผู้ใช้อยู่

ซึ่งหากใครอยากจะลองใช้เจ้า Waymo นี้ก็สามารถกดขอ waitlist ผ่านเว็บไซต์ของ Waymo (https://waymo.com/) ได้เลยครับ

แล้วผมได้ waitlist กับเขาด้วยเหรอ?

….แน่นอนครับ ผมไม่มี waitlist ฮ่า ๆ

แต่ผมยังโชคดีขึ้นไปอีกขั้น ที่ผมมีเพื่อนที่ San Francisco พอดี และเพื่อนของผมมี waitlist ครับ

เราก็ได้ไปเที่ยวกันตามปกติ แล้วเพื่อนก็ถามผมว่า

“เอ้อ นี่เรามี account Waymo พอดี มาลองนั่งกันไหม?”

เพราะเพื่อนผมเองก็ยังไม่เคยลอง ผมเองก็ตอบรับอย่างรวดเร็วว่า “ลอง !!!”

Waymo One ขณะกำหนดจุด PICKUP และ DROPOFF

หลังจากนั้นเพื่อนผมก็กดแอป Waymo One เพื่อเรียกรถเลย โดยตัวแอปก็เหมือนแอปเรียกรถต่าง ๆ ที่เราคุ้นชินกันครับ เริ่มจากเลือกจาก PICKUP ไป DROPOFF พร้อมแสดงราคาและตัดเงินจากบัตรเครดิต หรือ Apple Pay/Google Pay ได้เลย

Waymo One ขณะรอรถ

ข้อดีอย่างนึงของ Waymo คือราคาค่อนข้างถูก เมื่อเทียบการเรียกแท็กซี่ หรือแอปเรียกรถอื่น ๆ

อาจจะเพราะอยู่ในช่วงแรกของการทดลองใช้ต่าง ๆ และที่สำคัญไม่ต้องกดให้ Tip คนขับ เพราะรถมันไม่มีคนขับ !! ฮ่า ๆ

ที่นี่เวลาใช้บริการอะไรต่าง ๆ เรามักจะให้ Tip กันเสมอ ๆ เรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนปฎิบัติกันครับ ปกติคิดจากค่าบริการ แล้วคิดบวกเพิ่มไปอีกสัก 15% — 25% (ผมที่แอบชินธรรมเนียมไม่ให้ Tip จากญี่ปุ่น พอมาเจอที่นี่ก็แอบสะดุ้งหลายทีเหมือนกันครับ)

Letters from the app that will appear on car at pick-up

หลังจากนั้นน้องก็จะค่อย ๆ ขับมาตามจุดนัด พร้อมกับขึ้นชื่อ/สี ที่เราตั้งไว้ในแอป บนจอด้านบนของตัวรถครับ

ผมเกือบลืมบอกไปรถยนต์ที่ Waymo ใช้เป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดนะครับ น้องก็จะเงียบ ๆ ไม่ค่อยได้ยินเสียงเท่าไหร่

จากนั้นเจ้า Waymo ก็จะมาจอดตามจุด Pickup ตามที่เราเลือกไว้ เราก็เพียงเดินเข้าไปใกล้ ๆ ตัวรถแล้วก็กด Unlock 1 ทีแล้วขึ้นรถได้เลย

ด้านหน้าของห้องโดยสาร

รถที่ผมได้นั่งจะเป็น Jaguar I-PACE สีขาว (เท่าที่สังเกตเห็น Waymo ใช้สีขาวหมดเลย)

ฝั่งคนขับ (พวงมาลัยซ้าย) ก็จะไม่มีคนขับแบบในภาพเลยครับ ในตัวรถก็มีฟังก์ชันทั่วไป มีจอภาพทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ขนาดหน้าจอไม่ได้ใหญ่มากเมื่อเทียบกับ Tesla ครับ

จอด้านหลังภายในห้องโดยสาร

พอขึ้นรถมาแล้วทุกคนก็ต้องคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย รวมถึงคนขับ(ที่ไร้คนขับ) ด้วยครับ ก็จะถูกคาดเข็มขัดไว้ตลอดเวลาเหมือนกัน

หน้าจอของ Waymo

ฟังก์ชันของหน้าจอก็จะใช้สำหรับทั่วไป เช่น บอกข้อมูลเส้นทาง, บอกเวลาโดยประมาณว่าจะถึงปลายทางกี่โมง, เปลี่ยนเพลงในรถ, ติดต่อ Support รวมไปถึงข้อมูลของตัวรถอีกด้วย

โดยตัวรถจะมีทั้งกล้อง, Lidar, Radar รอบคันเพื่อใช้สำหรับรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาประมวลผลเส้นทาง, ความเร็วของตัวรถ

พอตัวรถตัดสินใจเส้นทาง และความเร็วได้แล้วก็จะขับไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางครับ ก็เป็นความรู้สึกที่แปลก ๆ ดีนะ แบบพวงมาลัยหมุนเอง รถเคลื่อนที่เอง คือถ้าอย่าง Tesla มันก็ยังพอมีคนนั่งด้านหลังพวงมาลัย แล้วเข้าควบคุมรถได้ตลอดเวลา แต่พอเป็น Waymo แล้วเราทำอะไรไม่ได้เลยครับ ได้แค่นั่งดูที่นั่ง(ที่ไม่มีคนขับ) แล้วได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอะไร ฮ่า ๆๆ

แถมอีกนิด ในตัวรถเองก็มีกล้องเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย (เดี๋ยวผมมี usecase จริงที่ได้ใช้กล้องตัวนี้บอกท้าย Blog ด้วยครับ)

หน้าจอบอกกรวยจราจร

ตัวรถเอง detect ได้ทั้งป้ายสัญญาณไฟจราจร, ป้าย Stop, กรวยจราจร, คน, รถขนาดต่าง ๆ ตามท้องถนนได้หมดเลย เรียกได้ว่าก็เห็นเหมือนที่คนเห็นหมดเลย และเห็นไกลกว่าตาของคนอีกด้วยครับ

Waymo cars capture a mind-boggling amount of data on surrounding objects and traffic patterns.

พอเอาข้อมูลทั้งหมดทั้งจากกล้อง, Lidar, Radar ต่าง ๆ มารวมกันก็จะได้ภาพแบบด้านบนออกมา อันนี้ผมหยิบภาพมาจาก Blog ของ Google ที่เขาบอกว่าผู้โดยสารจะเห็นเพียงแค่ภาพที่ออกมาดูง่าย ๆ แล้ว ส่วนภาพประมวลผลด้านหลังนั้นเอาไว้ให้คอมพิวเตอร์ (ตัวรถ) ตัดสินใจเองครับ

จากที่ลองมา Path (เส้นทางเดินรถ) มันเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตาม Object (วัตถุต่าง ๆ รอบ ๆ รถ) เปลี่ยนแบบ Real-time เลยก็ว่าได้

ตัวรถเองเคารพกฎจราจรเป็นอย่างดีเลย เรียกได้ว่าหากเจอป้าย Stop ที่แยกใดตัวรถจะหยุดรถจนความเร็วเป็น 0 km/hr เสมอครับ ถึงแม้รอบ ๆ จะไม่มีรถ/คน อย่างแน่นอน (ก็ขับรถตามกฎหมายบ้านเมืองอะเนอะ) แต่ก็แอบทำให้คนนั่งเวียนหัวเล็กน้อย ฮ่า ๆ

ภาพรถ Render สร้างออกมาให้เห็นก็จะแยกเป็น Object อย่างง่าย เช่น

  • วงกลมสีขาว คือ คน
  • สี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน คือ รถยนต์
  • กรวยสีส้ม คือ กรวยจราจร

บางครั้ง Waymo ยังตัดสินใจช้าอยู่

ในบางแยกที่ซับซ้อน เช่น 5 แยก ตัว Waymo เองยังใช้เวลาตัดสินใจค่อนข้างนานอยู่ ผมเห็นตัวรถลังเลหลายรอบ (สังเกตจากที่เปลี่ยน Path สลับไปมา และจอดค้างนาน) ตอนนั้นเองผมก็ลังเลด้วยครับ ว่าจะเอายังไงดี ฮ่า ๆ เพราะผมก็คงเข้าไปควบคุมตัวรถไม่ได้เหมือนกัน แล้วถ้าตัวรถไม่ขยับต้องทำยังไง? ติดต่อ Support ให้ช่วยขับรถหน่อยเหรอ? ฮ่า ๆ

แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ คิดว่าคงมาจากระดับความปลอดภัยที่อยากมั่นใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอะไร เลยใช้เวลาตัดสินใจนาน (เดาเอาเอง)

ขณะเปลี่ยนเลนถนน

เวลาที่รถจะเปลี่ยนเลนก็มีสัญลักษณ์บอก คิดว่าอันนี้เหมือนรถอื่น ๆ ทั่วไปอย่าง Tesla ก็มีเหมือนกัน

Waymo กำลังหลีกทางให้รถคันอื่น

ภาพด้านบนคือ Waymo กำลังหลีกทางให้รถบัสอยู่ จะเห็นว่าเลนของถนนที่จะขับไปมี 3 เลน

ด้านซ้าย มีรถจอดอยู่ตลอดแนวถนน (สี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน)

ตรงกลาง มีรถบัสกำลังขับมาทางเรา (ขับไปยังด้านล่างของภาพ)

ด้านขวา มีรถจอดตันทางอยู่ 1 คัน

Waymo เองก็ถือตัดสินใจได้ดี โดยการขับไปหลบด้านขวา เพื่อหลีกทางให้รถบัสไปก่อนครับ

ลองติดต่อ Support ของ Waymo

ตามสัญญาที่ผมบอกว่าจะมาเฉลยเรื่องที่ได้ใช้กล้องภายในตัวรถ Waymo

… อันที่จริง ผมทำแว่นกันแดดหายครับ ฮ่า ๆ

ระหว่างที่กำลังขึ้น Waymo ผมก็จำได้ว่าผมยังเห็นแว่นกันแดดอยู่ แต่หลังจากลงจาก Waymo มันก็หายไปแล้ว… เลยได้ติดต่อกับทาง Support ของ Waymo

ช่องทางที่ติดต่อเข้าไปก็คือโทรศัพท์ไปหา Support ครับ แล้วก็เล่า ๆ ว่าเราลืมของนะ คิดว่าลืมอะไร ลืมไว้ที่ส่วนไหนของรถ ทาง Support ก็บอกว่าขอเช็กข้อมูลแล้วจะแจ้งกลับไป

หลังจากทาง Support วางสายไปได้ไม่ถึง 5 นาทีก็โทรกลับมาบอกว่า

เราได้ตรวจสอบกล้องภายในตัวรถแล้ว เราไม่เจอแว่นกันแดดของคุณนะ แต่ยังไงแล้วหลังจากตัวรถกลับเข้ามา Depot(อู่รถ) แล้วเราจะตรวจสอบโดยคนอย่างละเอียดให้อีกครั้ง แล้วจะแจ้งกลับไปอีกที

หลังจากผ่านไปสัก 1 วันทาง Waymo ก็อีเมลแจ้งกลับมาครับว่า

เราไม่เจอแว่นกันแดดของคุณเลย

ฮ่า ๆ เศร้าไป 1 ยกครับ… แต่ไม่เป็นไร ถือว่าได้ลองใช้งานฟังก์ชันของ Waymo ให้ครบ ๆ และได้เรื่องมาเล่าใน Blog นี้ ฮ่าๆ

ความรู้สึกหลังลองใช้ Waymo

ต้องขอออกตัวก่อนผมเองก็ไม่ได้ใช้ Waymo มามากมายอะไร ใช้แค่ Trip สั้น ๆ เพียงไม่กี่ครั้งครับ หลังจากลองใช้ Waymo มาก็ถือว่าสะดวกดี เรียกได้ว่าสามารถแทนการนั่งแท็กซี่แบบปัจจุบันได้เลย (แถมถูกกว่า) จะขาดก็เพียงแค่ไม่มีคนขับให้คุยเล่นระหว่างทางแก้เหงา ฮ่า ๆ

โดยรวมตัว Technology ถือว่าทำออกมาได้น่าประทับใจเลยครับ จากเด็กอย่างผมที่เคยตื่นเต้นกับ Tesla ที่มี Autopilot พร้อมกับ Full Self-Driving ก็ถือว่า Wow แล้วตอนนั้น พอมาเจอกับ Self-Driving Car แบบของจริง แบบไร้คนขับ 100% ก็ Wow ไปอีกขั้นเลยครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่า Area ที่เปิดให้ใช้งานของ Waymo ยังมีจำกัด และภูมิประเทศ/เส้นทางยังถือว่าไม่ได้เป็นโจทย์ที่จะใช้ใน Worldwide scale ได้ ตัวรถเองก็ไม่ได้ทำความเร็วมากมายอะไร เพราะเน้นขับในตัวเมืองเสียมากกว่า

ถ้าหาก Waymo จะขยาย Area เพิ่มคงต้องตามกันต่อไปครับว่าจะเป็นโจทย์ที่น่าตื่นเต้นสำหรับ Waymo อีกมากน้อยแค่ไหน หากท่านใดอยากติดตามข่าว IT/Technology แบบนี้สามารถอ่านจาก Blognone (https://www.blognone.com/) ได้เลยครับ (ขายแบบเนียน ๆ ฮ่า ๆ)

ก่อนจะพบกันใหม่ใน Blog ถัดไป

Blog นี้ก็ถือเป็นอีก 1 Blog ที่ผมได้ออกมาเล่า Technology ต่าง ๆ ที่พบเจอมา ต้องขอขอบคุณ LMWN และทีมงานทุกท่านที่เป็นแรงผลักดัน และทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อให้ผมได้ออกไปสัมผัส Technology อย่างนี้นะครับ ขอบคุณครับบ

รวมไปถึงขอขอบคุณเพื่อนของผมที่ San Francisco มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ถ้าหากไม่มีเพื่อนคนนี้ คงไม่มี Blog นี้อย่างแน่นอน (เพราะผมไม่มี account Waymo ฮ่า ๆ)

หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะชอบใจใน Blog สบาย ๆ อ่านลื่นไหลแบบนี้นะครับ ถ้าหากอยากให้ไปลอง หรืออยากให้เล่าอะไรเพิ่มเติมก็ Comment หรือส่งหาผมโดยตรงที่ Facebook — Nontawat Numor ได้เลยครับ

ลากันไปด้วยภาพของผม และ Googleplex ที่ตั้งบริษัท Google ที่(เคย)เป็นเจ้าของ Waymo

ผม และ Googleplex, Mountain View, California

…แล้วพบกันใหม่ใน Blog หน้านะครับ ขอบคุณครับบบ

--

--