ทำไมเรายังไม่เป็น Unicorn?

Yod Chinsupakul
Life@LINE MAN Wongnai
2 min readFeb 27, 2019

--

วันก่อนทาง ลงทุนแมน โพสเรื่อง “ทำไมประเทศไทย ยังไม่มี UNICORN” มีคนแชร์เยอะพอสมควร (มากกว่า 1,000 แชร์)

ผมเข้าไปอ่านตอนดึกๆ และตอบในมุมมองของตัวเองไว้ ประมาณนี้

“มีสองสามประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะมีส่วน

1. เราเองไม่ได้มี global mindset หรือแม้กระทั่ง regional mindset ตั้งแต่วันแรก เช่นผมและเพื่อนๆที่ร่วมก่อตั้งกันมา โตในเมืองไทย และคิดว่าประเทศไทยนั้นก็ใหญ่แล้วและประเทศไทยก็สบายดี ไม่ได้อยากจะออกไปทำที่ไหน ตั้งแต่วันแรกเลยไม่ได้คิดจะทำแอพหรือเว็บอะไรเพื่อประเทศอื่นเลย คิดแต่จะทำในประเทศไทยนี่แหละ (ตอนนี้ก็ยังโฟกัสที่ไทย)

2. ต่อมาจึงได้รู้ว่า tech startup นั้นไม่มีพรมแดน เผลอแป๊ปเดียวคนไทยก็ใช้ LINE, Facebook, IG, Youtube, Grab กันแทบทุกคน จะทำอะไรที่ซ้ำกับเค้าก็ไม่ค่อยทันการแล้ว ครั้นจะเอาสิ่งที่เรามีขยายไปต่างประเทศ เกือบทุกประเทศก็มีเว็บ/แอพคล้ายๆเราเสียแล้ว (รู้ตัวช้า)

3. Engineer เก่งๆที่เป็นกำลังสำคัญของการสร้างสตาร์ทอัพที่ดีนั้น เรามีครับ แต่เหมือนจะยังไม่ค่อยพอต่อความต้องการของตลาด พี่ๆน้องๆที่หัวกะทิจริงๆก็มักจะทำงานอยู่ที่ Silicon Valley หรืออยู่บริษัทระดับโลกที่มีสำนักงานที่ประเทศไทยอย่าง Agoda (และหลังๆก็จะมีที่ LINE SCB KBank ด้วย)

ประเด็นที่ 1 คือสำคัญที่สุด ส่วน 2–3 น่าจะเป็นแค่ส่วนประกอบมั้ง”

เรื่องนี้ส่วนตัวก็เคยคิดอยู่แล้ว และก็มีคนเคยถามกระตุ้นบ่อยๆว่า “Wongnai valuation เท่าไหร่แล้ว?” หรือ “Wongnai เป็น unicorn แล้วหรือยัง?” ในคืนนั้นเลยมาคิดต่อ และคิดว่ามีอีกหลายประเด็นที่อยากเล่าต่อครับ

4. แล้วการเป็นยูนิคอร์นมันสำคัญจริงๆหรือเปล่า? การเป็นยูนิคอร์นคือการที่บริษัทหนึ่งมีมูลค่ามากกว่า $1 billion US dollar หรือ 30,000 กว่าล้านบาท ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย เรียกได้ว่าถ้าทำ startup อยู่ในประเทศอย่างเดียว มันยากมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้

5. ถ้าคิดแบบเบสิคสุดๆเลย มีบางช่วง บางวัน ผมก็คิดว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นยูนิคอร์นเลย เพราะจะมีทรัพย์สินไปทำไมตั้งพัน-หมื่นล้าน ยังไงก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว เอาจริงๆแค่ร้อยล้านก็น่าจะพอแล้วสำหรับดูแลตัวเองและครอบครัว (ถ้าไม่ได้อยากซื้อเรือยอร์ช หรือซื้อตั๋วไปดาวอังคารชั้นเฟิร์สคลาส)

6. แต่เหมือนกับว่า การเป็นยูนิคอร์น มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว ผมเชื่อว่า Anthony Tan (Grab Founder) หรือหลายๆคนที่เป็นยูนิคอร์นในตอนนี้ เค้าไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัวหรือแค่ครอบครัวอย่างเดียวอีกต่อไป เค้าทำเพื่อพนักงานในบริษัทที่มีหุ้นอยู่ ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆที่เชื่อใจเค้า เพื่ออนาคตของประเทศ เพราะมันเป็นหนทางที่สั้นที่สุด ที่จะสร้าง impact และ legacy ระดับประเทศได้ (โดยที่ไม่ได้ลงการเมือง)

7. แม้ว่าบริษัทระดับยูนิคอร์นจะถูกวัดด้วยมูลค่าทางการเงิน แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่พวกเค้าคิดตอนนี้คือการสร้างผลกระทบต่อสังคม สร้างงาน สร้างคน สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจำนวนเยอะมากๆ ไม่น่าใช่เรื่องเงินแล้วล่ะ

8. Wongnai ยังไม่เป็นยูนิคอร์นนะครับ หนทางยังอีกไกลพอสมควร ตอนนี้เรายังเป็นได้แค่ประมาณ Centaur -สัตว์วิเศษครึ่งคนครึ่งม้า- เท่านั้น

9. โดยถ้า Wongnai อยากจะเป็นยูนิคอร์นให้ได้เร็วกว่านี้ นอกจากเรื่อง global mindset ที่บอกไปตอนต้นแล้ว ผมคิดว่าต้องกล้าเสี่ยงมากกว่านี้มากๆเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปี 2013 ตอนรับทุนรอบแรก Wongnai ตัดสินใจที่จะไม่ออกไปต่างประเทศ ทำให้ valuation ไม่สูงนัก ทั้งๆที่มีผู้ลงทุนหลายรายพร้อมให้เงินลงทุนและ valuation สูงกว่าหากมีแพลนที่จะออกต่างประเทศ และก็มีอีกหลายครั้งที่เราไม่ได้เลือกที่จะเสี่ยงมากกว่านี้

10. อีกตัวอย่าง เรา raise funds มาสามรอบ รอบสุดท้ายเกือบสามปีแล้วจาก Intouch และปีที่แล้วเรามีผลประกอบการเป็นกำไร ซึ่งนั่นถือว่าค่อนข้างไม่ “ตรงตามตำรา” startup สักเท่าไหร่ เพราะส่วนมากจะ raise funds ทุก 12–18 เดือน และจะเน้นที่การเจริญเติบโตให้เร็วที่สุดมากกว่าจะทำกำไร

11. พูดให้เห็นภาพ ถ้ามีทางแยกให้ปีนขึ้นหน้าผาหรือเดินทางอ้อม ที่ผ่านมาเราไม่ได้เลือกปีนหน้าผาทุกครั้ง บางครั้งเราก็เลือกเดินทางอ้อมเพราะเราคิดว่ามันยั่งยืนกว่า แต่ถ้าย้อนอดีตกลับไป ด้วยโจทย์คือจะต้องเป็นยูนิคอร์นให้ได้ภายใน 2019 อาจจะต้องเลือกปีนหน้าผาทุกครั้งเลยมั้ง (ซึ่งก็จะมีความเสี่ยงที่จะตกลงมาบาดเจ็บหรือตายไปเลย) ทั้งสองทางไม่มีทางไหนผิดทางไหนถูก แค่มีความเสี่ยงต่างกัน

12. ถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะเป็นยูนิคอร์นได้ไหม คำตอบก็คือ “ไม่รู้” ครับ แต่แน่นอนว่านั่นคือหนึ่งในหลักไมล์สำคัญถัดไปที่เรามองเอาไว้ และหากทำได้ ก็มั่นใจว่าเราจะเป็นยูนิคอร์นตัวแรกๆของประเทศไทย

13. แต่ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกแฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่ ถ้ามีทางเลือกข้างหน้า เราก็น่าจะยังคงจะเลือกปีนหน้าผาในหลายๆครั้ง ขณะที่บางครั้งก็ยอมเดินอ้อมบ้างเหมือนเดิม ผมและเพื่อนอีกสามคน เริ่มทำ Wongnai ตั้งแต่ตอนอายุ 27 ปัจจุบันอายุ 36 เรารู้แล้วว่าอะไรคือธรรมชาติของเรา อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราสนุกในการทำงาน เราสนุกกับการสร้างบริษัทที่ดีที่สร้างคน เราต้องการเชื่อมต่อคนเข้ากับสิ่งดีๆ และเราทำเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นจริง

ถึงแม้บางครั้งตัวผมเองจะอยากมีเงินมากพอเผื่อซื้อตั๋วไปดาวอังคารชั้นเฟิร์สคลาสบ้างก็เถอะ ;)

-Yod

27 / 02 / 2019

--

--